สถานีวิทยุซีอาร์ไอรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลนายบารัก โอบามาได้ประกาศ "รายงานยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ" ในรายงานฉบับนี้ ได้ขยายความหมายของคำว่า "ความมั่นคง" ให้กว้างยิ่งขึ้นว่า นอกจากการป้องกันประเทศ ยังหมายรวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนาของทั่วโลก อาทิ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษาและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเป็นต้น ส่วนวิธีการรักษาความมั่นคงของสหรัฐฯ นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลไกทางการทหาร แต่เป็นการรวมตัวของการดำเนินการติดต่อทางการทูตระหว่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจและกำลังทหาร สื่อมวลชนเห็นว่า ยุทธศาสตร์นี้เป็นยุทธศาสตร์ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับลัทธิปัจเจกนิยมของยุคจอร์จ ดับเบิลยู บุช

ตามกฎหมายของสหรัฐฯ รัฐบาลชุดใหม่ทุกสมัยต้องยื่น "รายงานยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ" ต่อรัฐสภา โดยให้ความสนใจกับภัยคุกคามที่มีต่อความมั่นคงแห่งชาติและเสนอแผนการแก้ไขปัญหา รายงานที่ประกาศเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นรายงานยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับแรกของรัฐบาลนายบารัก โอบามา สิ่งที่แตกต่างจาก "ยุทธศาสตร์การทหารแห่งชาติ" อยู่ตรงที่ "ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ" มีเนื้อหาครอบคลุมบริบทที่กว้างขวางขึ้น และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลขึ้น สามารถส่งผลกระทบต่องบประมาณและด้านนิติบัญญัติ และเป็นปัจจัยชี้ทิศทางนโยบายด้านการป้องกันประเทศและการต่างประเทศให้รัฐบาลชุดใหม่

นักวิเคราะห์เห็นว่า รายงานฉบับนี้เป็นการบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดของยุทธศาสตร์ความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยยุทธศาสตร์ความมั่นคงในยุคจอร์จ ดับเบิลยู บุช เริ่มต้นจากแนวคิดสงครามเย็น แล้วพัฒนาไปเป็นการลงมือเชิงรุก ส่วนยุทธศาสตร์ความมั่นคงในยุคบารัก โอบามา เริ่มต้นจากการการลงมือเชิงรุก แล้วพัฒนาไปเป็นการติดต่อและร่วมมือกัน หากเปิดรายงานยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ 2 ฉบับในยุคจอร์จ ดับเบิลยู บุชก็จะพบว่า สองคำที่มีการไฮไลต์มากที่สุดคือ "การยับยั้ง" กับ "การป้องกัน" ส่วนรัฐบาลนายบารัก โอบามาเน้นคำว่า "การติดต่อ" กับ "ความร่วมมือ"

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลนายบารัก โอบามายอมรับความจำเป็นของกำลังทหาร แต่บ่งชี้ว่า กำลังทหารเป็นเพียงวิธีสุดท้ายถ้าความพยายามทางการทูตไม่เป็นผล ในขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ก่อนหน้านี้ นายบารัก โอบามากล่าวขณะเข้าร่วมพิธีประสาทปริญญาบัตรประจำปี 2010 ที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์ปอยต์ว่า ความเป็นต่อของการทหารสหรัฐฯ ยังเป็นรากฐานของการป้องกันประเทศและความมั่นคงของโลก แต่ไม่ใช่ที่พึ่งเดียวในระเบียบใหม่ของโลก ความร่วมมือทั่วโลกและความสัมพันธ์ฉันหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์จะเป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างระเบียบใหม่ของโลก

รายงานฉบับนี้ยังให้ความสำคัญกับภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายชาวพื้นเมืองในประเทศเป็นอย่างยิ่ง และถือภัยคุกคามดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญอันดับแรกของความมั่นคงของประเทศ หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายภายในประเทศหลายครั้ง อาทิ เหตุยิงถล่มฐานทัพฟอร์ต ฮูด และเหตุระเบิดรถยนต์ที่ไทม์สแควร์ นครนิวยอร์ก รัฐบาลนายบารัก โอบามาจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายในการปราบปรามการก่อการร้าย

นักวิเคราะห์เห็นว่า รายงานยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้เป็นการสืบทอดหลักนโยบายด้านการต่างประเทศและการป้องกันประเทศที่มีมาตั้งแต่นายบารัก โอบามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ จะรับมือกับการท้าทายใหม่ ๆ โดยใช้กลไลการต่างประเทศและศักยภาพทางการทหาร สหรัฐฯ จะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในกิจการสากลเพื่อสร้างระเบียบใหม่ทั่วโลกภายใต้การนำของสหรัฐฯ